วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Guido d'Arezzo (991/992-after1033)

Guido d'Arezzo เป็นนักบวช และนักทฤษฎีดนตรีในยุคกลาง (Medieval) เกิดเมื่อประมาณปี ค.ศ.991/992 และเสียชีวิตในราวๆหลังปี ค.ศ.1033 Guido เป็นนักบวชในคณะเบเนดิกต์จากเมืองอาเรสโซ (Arezzo) ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางของจังหวัด Arezzo ในแคว้น Tuscany ทางตอนกลางของประเทศอิตาลี จากการศึกษาค้นคว้าล่าสุดพบว่า Guido ได้เขียนงาน Micrologus ขึ้นในช่วงประมาณปี ค.ศ.1025-1026 และจากบันทึกที่เขียนไว้ในจดหมายได้ระบุว่า ในขณะนั้นเขามีอายุได้ 34 ปี จึงสามารถสันนิษฐานได้ว่า เขาเกิดในช่วงประมาณปี ค.ศ.991 หรือ ปี ค.ศ.992
แต่เดิม Guido เป็นนักบวชอยู่ที่สำนักสงค์ปอมโปซา (Pomposa) ซึ่งอยู่แถบชายฝั่งทะเลอะเดรติก (Adriatic) ใกล้เมืองเฟอรารา (Ferrara) ทางตอนเหนือของอิตาลี ในขณะที่อยู่ที่นั่น เขาก็ได้สังเกตเห็นถึงความยากลำบากของนักร้อง ในการที่จะจำเพลงร้องที่ใช้ในพิธีทางศาสนา (Chant) เขาจึงเริ่มคิดค้นวิธีการสอนที่ทำให้นักร้องสามารถจดจำโน้ตได้เร็ว และง่า่ยยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าวิธีที่เขาคิดขึ้นจะได้ผล และเป็นที่นิยมแพร่หลายไปทั่วแถบตอนเหนือของอิตาลี แต่มันก็ทำให้คณะสงค์อื่นๆเกิดความไม่พอใจ เป็นเหตุให้ Guido ต้องรีบย้ายไปยังเมือง Arezzo ที่ซึ่งเขาได้รับเชิญจากพระสังฆาธิการ Tedald ให้ไปควบคุมวงที่ท่านฝึกสอนอยู่ เพราะถึงแม้ว่าเมืองนี้จะไม่มีโบสถ์อยู่เลยแม้แต่แห่งเดียว แต่ก็มีนักร้องประจำโบสถ์กลุ่มใหญ่อยู่ที่นั่น และที่เมือง Arezzo นี้เอง เขาได้พัฒนาวิธีการสอนใหม่ๆ เช่น Solfeggio ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของบันไดเสียง โดเรมี แต่ละคำนำมาจากพยางค์แรกของวลีเพลงทั้ง 6 ในบทกวี Hymn, Ut Queant Laxis ซึ่งอาจมีรากฐานมาจากงานในสมัยแรกๆของเขา ตั้งแต่ครั้งยังอยู่ที่ Pomposa
Guido ได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้คิดค้นระบบบันทึกโน้ตดนตรีแบบสัญลักษณ์บรรทัด 5 เส้นสมัยใหม่ (Staff notation) ซึ่งใช้แทนระบบการบันทึกโน้ตโดยตัวอักษรกรีกแต่เดิม (Neumatic notation) งานเขียนของเขาที่ชื่อ Micrologus มีอิทธิพลอย่างสูงต่อการพัฒนาการประสานเสียงหลายเสียง (Polyphony) จังหวะที่เป็นอิสระที่ประสานเข้ากับท่วงทำนองที่เป็นอิสระ (Rhythmic and Melodic independence) และผนวกเสียงร้องหลายแนวตั้งแต่ 2 แนวขึ้นไป ใส่ไว้ในเพลงเดิมๆที่เรียบง่าย นับเป็นทฤษฎีทางดนตรีชิ้นที่สองต่อจากงานเขียนของ Boethius (ค.ศ.480-524/525) นักปรัชญาชาวโรม ในศตวรรษที่ 6 ซึ่งเป็นที่แพร่หลายมากที่สุดในยุคกลางเลยทีเดียว นอกจากนี้ Guido ยังได้รับฉายาอย่างไม่เป็นทางการว่า เป็นผู้คิดค้นระบบบันทึกโน้ตแบบ Guidonian Hand ซึ่งเป็นเทคนิคช่วยจำโน้ตโดยการตั้งชื่อโน้ตให้สอดคล้อง สัมพันธ์กับส่วนต่างๆบนมือของมนุษย์ เป็นที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในยุคนั้น
งานเขียน Micrologus ของเขาได้อุทิศให้กับพระสังฆาธิการ Tedald และต่อมาไม่นาน งานเขียนของเขาได้รับความสนใจจากพระสันตะปาปายอห์นที่ 19 ซึ่งได้เชิญเขาไปที่โรมในช่วงราวๆปี ค.ศ.1028 แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กลับมาที่เมือง Arezzo อีกครั้งเพราะปัญหาด้านสุขภาพ และเรื่องราวของเขาก็หายเงียบไป แต่มาพบในตอนหลังว่างานเขียน Antiphoner ของเขา (การเปลี่ยนระดับเสียงร้องในเพลงสวด) ทีู่สูญหายไปในตอนแรก ได้ถูกเขียนต่อจนเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ.1030
ในปัจจุบันชื่อของ Guido of Arezzo ได้ถูกนำไปตั้งชื่อเป็นโปรแกรม GUIDO Music Notation ซึ่งเป็นระบบที่นำเสนอการเขียนโน้ตเพลงด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์อีกด้วย

ฝนพา สาทิสสะรัต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น